วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การเคลือบกระจก

    
 การเคลือบกระจก
                  การเคลือบกระจกเป็นวิธีการป้องกันอย่างหนึ่ง สำหรับการเกิดคราบน้ำบนกระจกได้ และยังสามารถไล่เม็ดน้ำให้ไหลลื่นออกจากบนกระจกได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับการเคลือบในฤดูฝนอีกด้วย เพื่อเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเคลือบกันที่กระจกหน้า ราคาก็อยู่ที่ 200-300 บาทต่อการเคลือบ 1 ครั้ง น้ำยานั้นจะสร้างฟิลม์แข็งเกาะบนกระจกอยู่ได้ประมาณ 1 เดือนครับ 
ก่อนการเคลือบนั้นต้องทำความสะอาดกระจกให้แห้งสนิท และต้องไม่มีคราบน้ำฝั่งแน่นบนกระจกทำการเทน้ำยาลงบนกระจกด้านบนสุด ดังรูปเทให้เป็นแนวยาวตามขอบกระจกให้น้ำยาเริ่มไหลลงด้านล่างตามแรงดึงดูดของโลก แล้วรีบปิดฝาน้ำยาเพราะน้ำยานั้นมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดการละเหยของน้ำยาได้เร็วลดการสิ้นเปลืองของน้ำยา


ใช้ผ้าแห้งหรือฟองน้ำทำการถูน้ำยาให้เป็นแนวตรงดิ่งจากบนลงล่าง ถูให้ชิดทั้งขอบบนและขอบล่างของกระจกดูด้วยตาให้แน่ใจว่าน้ำยาได้เคลือบลงบนแผ่นกระจก100% 
หลังจากเคลือบแล้ว ปล่อยให้น้ำยาซึมซับลงบนแผ่นกระจก 5 นาที รอจนเห็นว่าน้ำยาได้แห้งติดกับกระจกแล้วใช้ผ้าแห้งหรือผ้าไมโครไฟเบอร์ ทำการเช็ดคราบแห้งของน้ำยาออก การเช็ดให้เช็ดเป็นแนวขึ้นลงอีกเช่นเดียวกันกับการลงน้ำยา ดูให้เห็นว่ากระจกใสขึ้นและไม่มีคราบน้ำยาหลงเหลือบนกระจกเลย

การเคลือบสี


 การเคลือบสี
        รถยนต์ทุกคันมีอายุการใช้งานของสี ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่ป้ายแดงหรือรถเก่าที่ใช้แล้ว ผู้ใช้บางคนยังไม่ทราบถึงความสำคัญของการเคลือบสี เพราะถ้าหากใช้รถไปนานวันแต่ไม่มีการดูแลรักษา สีรถก็จะดูหมอง เก่าด้านและสีแตกก่อนเวลาอันควรดังนั้น การเคลือบสีรถยนต์จึงมีบทบาทที่สำคัญที่จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของสีที่เกิดจากความร้อนจากแสงแดด ความร้อนจากห้องเครื่อง คราบมูลนก น้ำค้างยางไม้ ยางมะตอย ซึ่งผลิตภัณฑ์เคลือบสีรถในตลาดนั้นมีมากมายหลายยี่ห้อ แต่ที่สำคัญเคมีเคลือบสีรถเหล่านั้น ไม่ควรมีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะน้ำมันเปรียบเหมือนเชื้อเพลิงที่เร่งการเผาไหม้บนสีรถให้เร็วขึ้น 
โดยปกติรถป้ายแดงจะมี wax เพิ่มความเงางามของสีรถอยู่แล้ว และจะมีฟิล์มแล็คเกอร์บางๆ คอยปกป้องชั้นผิวสีของรถมาระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถป้องกันริ้วรอยต่างๆ ที่เกิดจากเศษเม็ดทราย, กิ่งไม้, ที่เกิดจากสัตว์เลี้ยงที่ท่านรัก เป็นต้น ดังนั้นวิวัฒนาการ การปกป้องหรือช่วยลดระดับความเสียหายจากหนักให้เป็นเบาจึงเกิดขึ้นนั้นก็คือ การเคลือบด้วยสารโพลีเมอร์ (สารเคลือบแข็ง) ทำหน้าที่สร้างฟิล์มบางๆ บนหน้าแล็คเกอร์อีก 1 ชั้น เพื่อปกป้องการเกิดริ้วรอยต่างๆ ได้อย่างชัดเจน 
ขั้นตอนและวิธีการทำ
1) ล้างรถด้วยโฟมให้สะอาด
2) ทำการเช็คแห้งให้ทุกขั้นตอนของกรรมวิธีเช็ดแห้ง
3) ใช้ฟองน้ำที่ใช้สำหรับเคลือบโดย (เฉพาะ) เคลือบเท่านั้น
4) เทน้ำยา (ที่ลูกค้าเลือกใช้) ลงบนฟองน้ำ
5) ทำการเคลือบที่ฝากระโปรงหน้ารถก่อน
6) เมื่อเคลือบโดยรอบคันแล้วทิ้งไว้ให้น้ำยาแห้ง (ขึ้นเป็นคราบสีขาว)
7) เมื่อแห้งแล้วใช้ผ้าที่ใช้สำหรับเคลียร์แว็กเช็ดออก (ควรเช็ดเบาๆ)
8) เมื่อเช็ดแว็กออกหมดแล้วใช้แปรงสีฟัน (ขนอ่อน) ขัดคราบแว็กที่หลงเหลืออยู่ตามซอกมุมของรถ
9) ใช้ลมและผ้าสะอาดไล่ฝุ่นละอองที่ติดอยู่ออกโดยรอบคัน
10) ตรวจสอบคราบแว็กอีกครั้งแล้วนำผ้าคลุมรถมาคลุมไว้ ก่อนส่งมอบรถ

การขัดเคลือบสี


       การขัดเคลือบสี
1. กรรมวิธีการขัด-เคลือบสี ขั้นตอน และวิธีการทำ 
1) ล้างรถให้สะอาดด้วยโฟมล้างรถ 
2) นำสเปรย์ (SPRAY LUBRICANT) ฉีดพ่นพร้อมกับใช้ดินน้ำมัน (CLAY BAR) ลูบตาม เพื่อคราบยางมะตอย ละอองสีและคราบสิ่งสกปรกที่ติดฝังแน่นออก เวลาลูบดินน้ำมันควรจะลูบในแนวตั้งไม่ควรลูบในลักษณะวงกลม ที่สำคัญรถจะต้องเปียกชื้นอยู่เสมอเวลาลูบดินน้ำมัน 
3) เวลาลูบดินน้ำมันเสร็จแล้วจะต้องล้างรถด้วยโฟมให้สะอาดอีกครั้ง 
4) เสร็จแล้วเช็ดรถให้แห้งพร้อมทั้งทำความสะอาดภายในรถให้เรียบร้อย 
5) นำกระดาษมาติดตามขอบยางกระจกบานหน้า, บานหลังและยางขอบกระจกประตูทุกบานรวมถึงในส่วนที่จะเกิดความเสียหายได้ในขณะปฏิบัติงาน 
6) ตรวจดูสภาพสีรถโดยรอบหากพบลอยขีดข่วนที่ลึกจนเกินไปให้นำกระดาษทรายละเอียดเบอร์ 2000 ชุบน้ำมาลูบเบาๆ ตรงบริเวณลอยขีดข่วน ในการลูบกระดาษทรายไม่ควรออกแรงกดมากควรจะกดให้เบาที่สุด ถ้าขัดแรงเกินไปจะทำให้สีรถเกิดความเสียหายได้ต้องระวังเป็นพิเศษ
7) เมื่อทำการเก็บลอยขีดข่วน แล้วนำยาขัดป้ายตรงบริเวณที่เราทำการขัดกระดาษทรายไว้ พร้อมทั้งปั่น (ใช้ฟองน้ำขัดหยาบ) ปั่นบริเวณนั้นที่ทำอย่างนี้เพื่อทำให้บริเวณที่เราขัดเกิดความเงางามกลับมาเหมือนเดิม ทำแบบนี้ในทุกจุดที่เราทำการลูบกระดาษทรายไว้ 
8) จากนั้นนำน้ำยาขัดละเอียด เทบางๆ ใส่ฟองน้ำทาให้ทั่วทั้งคัน (ทำขั้นตอนที่ 7 ประมาณ 2 รอบ) 
9) เมื่อทำขั้นตอนที่ 8 เสร็จแล้ว ควรจะตรวจสภาพสี ทำการขัดดูว่างานอกมาดีหรือไม่ ถ้ายังมีบางจุดที่ต้องแก้ไขก็ให้ทำซ้ำตรงบริเวณนั้นเมื่อเห็นว่างานดีแล้วจึงทำการเคลือบด้วยน้ำยา ให้เคลือบบางๆ ให้ทั่วคัน ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วทำการเช็ดคราบแว็กออก 
10) ทำความสะอาดอีกครั้งโดยใช้ลมเป่าช่วยเพื่อให้ฝุ่นที่ติดอยู่กับสีหลุดออก 
11) นำผ้ามาคลุมรถไว้เพื่อป้องกันฝุ่นมาติดรถละยังดูดีเมื่อลูกค้ามารับรถ 
12) เมื่อลูกค้าตรวจรับรถแล้วควรจะอธิบายขั้นตอนในการดูแลรักษาสีหลังจากขัดเคลือบไปแล้ว 
หมายเหตุ การขัดกระดาษทรายจะต้องระวังเป็นพิเศษ ควรจะให้คนที่มีประสบการณ์หรือผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเป็นคนทำ จะได้ไม่เกิดความเสียหายกับสีรถ การขัดแต่ละครั้งจะใช้เวลาไม่เท่ากันโดยเฉพาะรถสีเข้มจะใช้เวลาและรายละเอียดมากเป็นพิเศษใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมงในการขัดเคลือบแต่ละครั้ง และใช้คนประมาณ 2 คน ในการทำงาน








2. การขัด-เคลือบล้อแมกซ์
สำหรับคาร์แคร์ที่ต้องการ การบริการลูกค้าให้ครบวงจรนั้น ควรศึกษาและมีรายการการบริการนี้ไว้เป็นดี ส่วนการที่จะขายได้หรือไม่นั้นอยู่ที่ฝีมือการอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจอีกที อัตราค่าบริการนั้น 100 - 200 บาท ต่อ 1 ล้อเลยทีเดียวขึ้นอยู่กับสภาพอีกที
สาเหตุที่ทำให้ต้องขัดและเคลือบล้อแม๊กซ์นั้น เนื่องมาจากผงเบรกของล้อนั้นเอง โดยเฉพาะผงเบรกของรถยุโรปที่จะมีมากกว่ารถญี่ปุ่น นอกจากจะล้างด้วยน้ำเปล่าไม่ออกแล้ว หรือล้างด้วยแชมพูยังไม่อยากจะออกกันเลย ต้องใช้น้ำยาสะลายคราบถึงจะออก ดังนั้นจึงต้องเคลือบน้ำยาไว้เหมือนกับการเคลือบสีนั้นเอง เพราะการเคลือบจะสร้างฟิลม์บางๆ มีความมันลื่น ทำให้คราบผงเบรกไม่ติดที่ล้อแม๊กซ์ถึง 100% คงยังมีบ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
สาเหตุต่อไปก็คือ สะเก็ดของยางมะตอย คราบยาง คราบเลือด คราบเหล่านี้เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็จะเริ่มกัดและละลายหน้าฟิลม์ของแม๊กซ์ได้ โดยเฉพาะล้อแม๊กซ์แพงๆ และมีความสวยงามเมื่อเกิดคราบเหล่านี้ต้องรีบอธิบายให้ลูกค้าทราบโดยเร็ว
ฉีดน้ำที่วงล้อให้ทั่วแล้วใช้น้ำยาฉีดล้อแม๊กซ์ที่มีคราบผงเบรคฝังแน่น ทิ้งไว้ 1 นาที แล้วใช้แปรงขัดคราบสกปรกออก (ห้ามเกิน 1 นาที) แล้วใช้น้ำเปล่าทำการล้างคราบออกให้หมดใช้ลมเป่าให้แห้ง ก่อนทำการเคลือบสเปรย์เคลือบล้อแม๊กซ์ สูตรกันผงเบรกและคราบสกปรกต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่ายดายรวดเร็ว
- สเปรย์น้ำยาลงที่วงล้อให้ทั่วทิ้งไว้ให้แห้งเป็นฝ้า แล้วทำการเช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่ม
- ควรใช้หลังจากขัดด้วยน้ำยาขัดผงเบรคแล้ว









3. การขัด-เคลือบกระจก
คราบกระจกฝั่งแน่นนั้นเป็นปัญหามาเนินนาน และเป็นปัญหาของคาร์แคร์ด้วย เมื่อลูกค้าบางท่านไม่เข้าใจก็จะโทษว่าคาร์แคร์ล้างรถไม่สะอาดบ้าง ไม่ครบวงจรบ้าง ซึ่งจะมีปัญหาตามมาภายหลังได้ ดังนั้นต้องทำความเข้าใจและอธิบายให้ลูกค้าทราบถึงสาเหตุและวิธีการแก้ไขให้ดีครับ
โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลสงกรานต์จะเป็นช่วงเริ่มต้นของการเกิดคราบน้ำ โดยเกิดจากคราบดินสอพอง คราบน้ำสกปรกที่สาดกันติดเป็นวงที่กระจกและตัวสีรถเหล่านี้ เมื่อเกิดปฎิกริยากับความร้อนของแสงแดด จะเกิดเป็นคราบแห้งและฝั่งแน่นบนสีรถและกระจกโดยทันที และล้างไม่ออกซะด้วย
กรรมวิธีนั้นไม่ยาก แต่น้ำยานั้นค่อนข้างจะหายากไปซักหน่อยมีบางบริษัทเท่านั้นที่จัดจำหน่าย ใส่น้ำยาในขวดสเปรย์ในอัตราส่วนผสม 1 : 3 พร้อมฟองน้ำตาข่าย 1 อัน และน้ำเปล่าก็ทำการสะลายคราบได้แล้ว สเปรย์น้ำยาไปบนจุดที่มีคราบพร้อมกับใช้ฟองน้ำตาข่ายทำการถูเป็นวงกลมไปมา ประมาณ 1 นาทีต่อ 1 บาน แล้วใช้น้ำเปล่าฉีดละลายคราบออกจะเห็นว่าคราบเริ่มจางหายไป ทำแบบเดิมอีกรอบจนเห็นว่าคราบกระจกหายไปจนหมดสิ้น
สำหรับรถที่มีคราบน้ำฝั่งแน่นมาเป็นปีๆ ต้องทำกันหลายรอบหน่อยแต่ถ้าจะให้ดีควรฉีดแล้วถูแช่ไว้ก่อนซัก 3 นาทีแล้วกลับมาฉีดแล้วถูซ้ำใหม่อีกรอบคราบก็จะเริ่มจางไปครับ เคล็ดลับ ควรจะใช้ฟองน้ำตาข่ายที่มีความคมหรืออันใหม่ไปเลย ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องกระจกจะเป็นรอย
สำหรับท่านที่ไม่มีน้ำยา ก็ใช้ครีมขัดสีชนิดขัดหยาบก็ใช้ได้เช่นเดียวกันครับ แต่จะเปลืองไปหน่อยและออกแรงมากอัตราค่าบริการ 100 บาท ต่อ 1 บาน หรือ ทุกบาน 500 บาท

กรรมวิธีการเช็ดแห้ง


     กรรมวิธีการเช็ดแห้ง

1) การเช็ดแห้ง
- ขั้นตอนสุดท้ายของการเพิ่มความงาม และฟื้นฟูรักษาความสะอาดหลังจากผ่านจุดล้างมาแล้วการเข้าจอด พนักงานขับส่งจะต้องดูแนววิถีการจอดด้วย และต้องวัดระยะการจอดและการเปิดประตูของรถรวมถึงการทำงานของพนักงานด้วย
- เ ปิดประตูทุกบาน ยกที่ปัดน้ำฝนเพื่อให้รถเกิดการสะเด็ดน้ำ พนักงานช่วงนี้ต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ
- พนักงานขับส่ง ต้องเปิดจุดซ้อนเร้นต่างๆ ที่จะต้องทำความสะอาดเพิ่มเติมโดยเฉพาะ จุดฝาปิดถังน้ำมันที่จะมีคราบน้ำมันอยู่ โดยที่เจ้าของรถไม่เคยเปิดดูเลยด้วยซ้ำไป
- พนักงาน 1 ท่านทำการไล่คราบน้ำโดยใช้ปืนลม ยิงตามจุดที่สำคัญๆ ดังนี้ ซอกกระจก ประตู มือจับ ตัวหนังสือตัวนูน ซอกไฟเลี้ยว ไฟหน้า ปัดน้ำฝน กาบปัดน้ำฝน
- หลังจากนั้นพนักงานใช้ผ้าชามัวร์เช็ดตามตัวสีรถโดยให้เดินรอบตัวรถเป็นวงกลม รอบเดียวให้จบเช่นเดียวกัน ไม่ต้องรีบและบิดผ้าชามัวร์บ่อยๆ พร้อมกับซักเพื่อให้ผ้ามีความสะอาดอยู่เสมอ และป้องกันการอิ่มตัวของน้ำในผ้าชามัวร์ ใช้ผ้าแห้งที่สะอาดและนิ่มหรือผ้าไมโครไฟเบอร์ทำการไล่คราบน้ำที่แห้ง 1 รอบ โดยเฉพาะรถสีเข้มหรือรถสีดำ เท่านี้เป็นเสร็จของกรรมวิธีเช็ดแห้งของสี
- ขั้นตอนต่อไปเป็นการเช็ดคราบน้ำบนกระจก โดยใช้ผ้าชามัวร์ลูบและถูคราบสกปรกที่หลุดค้าง แล้วใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดตามอีกครั้งดูจนเห็นว่ากระจกใส และไม่มีคราบใดๆ ทุกบาน ควรตรวจคราบแมลงตกค้างด้วย
2) การซัก เบาะ พรม
เบาะหรือพรม เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ในรถยนต์ได้เป็นอย่างดี และยังไม่รวมถึงสัตว์และแมลงต่างๆ ที่แอบเข้ามาในห้องโดยสาร โดยที่ไม่ได้รับเชิญอีกด้วย เช่น มด แมลง จิ้งจก หนู เป็นต้น ที่พร้อมใจกันโอนสำเนาทะเบียนบ้านมาอยู่ในห้องโดยสารได้อย่างถาวรได้ทุกเวลา ถ้าเกิดรถของลูกค้าที่มีบรรยากาศที่พวกมันชอบหรือมีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ตามซอกมุมต่างๆ ให้พวกมัน









อันนี้ยังไม่รวมกลิ่นอับในห้องโดยสารที่จะเกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติหรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นอ๊วก กลิ่นนม กลิ่นบุหรี่ กลิ่นอับชื้น ซึ่งกลิ่นเหล่านี้จะทำให้ระบบหายใจของผู้โดยสารมีปัญหาได้ ดังนั้นพนักงานที่รับรถควรสังเกตและให้คำแนะนำให้กับลูกค้า ในกรณีที่ลูกค้าไม่ทราบหรือมีปัญหาในกรณีที่กล่าวมาในเบื้องต้น เพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายในด้านการบริการและยอดขายประจำวันได้เป็นอย่างดี
ก) แบบซักเปียก
- ล้างรถให้สะอาดตามมาตรฐาน
- ผสมน้ำยาซักพรมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 50/50
- ถอดเบาะและพรมออก
- ใช้น้ำยาฉีดสะลายคราบหลังจากนั้นใช้น้ำฉีดไล่คราบ ถ้ายังไม่สะอาดให้ใช้แปรงขนอ่อนขัดช่วย
- เมื่อทำเสร็จแล้วจะต้องนำเบาะและพรมตากแดดให้แห้งสนิท
- เมื่อพรมและเบาะแห้งดีแล้วนำมาประกอบ พร้อมทั้งตรวจสอบผลงานอีกครั้งก่อนส่งมอบลูกค้า
ข) แบบซักแห้ง
- เตรียมอุปกรณ์ในการถอดเบาะ เวลาถอดต้องระวังอย่าให้รถลูกค้าเป็นรอยถลอก
- แกะพลาสติกตามขอบประตูออก (ต้องระวังหมุดที่ใช้ยึดอาจเสียหายได้)
- ค่อยๆ ดึงพรมออก จะต้องระวังสายไฟที่อยู่ใต้พรม และควรจะดึงพรมจากด้านหน้ารถก่อน
- เมื่อถอดพรมได้แล้วนำพรมไปซักด้วยโฟมให้สะอาด และตากแดดให้แห้งสนิท
- นำเครื่องดูดน้ำมาดูดน้ำ ภายในรถที่ตกค้างอยู่ให้แห้งแล้วนำรถจอดตากแดด
- ทำการซักเบาะพรมโดยการใช้ปืนลมเป็นตัวซักไล่คราบสกปรก
- เมื่อพรมแห้งแล้วนำมาใส่ เวลาใส่ต้องระวังเวลานำเบาะมาประกอบ ขายึดของเบาะอาจไปเกี่ยวแผงพลาสติกประตู ทำให้เกิดความเสียหายได้
- เมื่อประกอบเสร็จแล้วนำรถไปล้างทำความสะอาด
- ตรวจงานอีกครั้งก่อนส่งมอบลูกค้า

กรรมวิธีการล้างอย่างมีมาตรฐาน

    
            กรรมวิธีการล้างอย่างมีมาตรฐาน


1. การล้างขั้นตอนและวิธีการล้าง
1) นำรถเข้าช่องล้าง (VIP) ทำการพ่นน้ำใต้ท้องรถและฉีดน้ำไล่ฝุ่นละอองออกโดยเฉพาะใต้ท้องรถ
2) ทำการล้างล้อก่อนโดยเฉพาะรถที่ใช้ล้อแม็กจะต้องล้างให้สะอาด โดยใช้น้ำยาล้างล้อประมาณ 1 ฝาผสมกับน้ำ 1 ถัง แล้วใช้ฟองน้ำตะข่าย แปรง เป็นอุปกรณ์ในการล้างล้อ
3) ใช้น้ำฉีดคราบสกปรกที่เกิดจากการล้างล้อทั้ง 4 ล้อออกให้หมด
4) ใช้โฟมล้างรถฉีดให้รอบคัน (ในกรณีใช้โฟมสามสี)
5) ใช้ฟองน้ำล้างรถโดยเฉพาะประมาณ 2 อัน อันหนึ่งใช้ล้างส่วนบนอีกอันใช้ล้างส่วนล่างของรถ ทำการเช็ดถูเบาๆ รอบคันรถ
6) เสร็จแล้วฉีดน้ำไล่โฟมออกให้หมดแล้วจึงนำรถไปช่องเช็ดแห้ง
7) ใช้ผ้าชามัวซับน้ำ แล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบน้ำที่เหลือ
8) เสร็จแล้วใช้สายลมเป่าไล่น้ำที่ยังตกค้างอยู่ตามซอกตามมุมออกให้หมดแล้วใช้ผ้าเช็ด
9) ทำการดูดฝุ่นภายในให้ทั่ว โดยเฉพาะตามซอกพรมเบาะให้สะอาด เสร็จแล้วใช้แว็กทาเคลือบในส่วนที่เป็นคอนโซนหน้ารถ แผงประตูหรือส่วนที่เคลือบแว็กได้ให้สะอาด
10) ให้เช็ดกระจก, ลงแว็กยางรองพื้นรถและแว็กยางที่ล้อรถทำพร้อมๆ กับทำภายในให้เรียบร้อย
11) เสร็จแล้วให้ Front man ตรวจสอบงานก่อนส่งมอบรถ
หมายเหตุ การที่ลูกค้าล้างสี + ดูดฝุ่นจะไม่มีการลงแว็กภายในรถแต่จะใช้ผ้าเช็ดฝุ่นตามคอนโซนใช้เวลาในการ ทำไม่ควร เกิน 30 นาที รวมกับการล้างด้วย
2. การล้างห้องเครื่อง ขั้นตอนและวิธีการทำ
1) เปิดฝากระโปรงหน้ารถ ใช้พัดลมเป่าให้เครื่องเย็นลง
2) สังเกตุดูว่าจะต้องใช้ถุงพลาสติกคลุมส่วนไหนบ้างอาทิ เช่น จานจ่าย, ใส้กรองอากาศ (แบบเปลือย) กล่องไฟซีนอล,ท่อดูดอากาศ และสิ่งที่คิดว่าเป็นอันตรายต่อการล้างห้องเครื่อง
3) ฉีดน้ำเป็นละอองฝอยให้ทั่วเครื่องยนต์
4) นำน้ำยาล้างห้องเครื่องพ่นตามจุดที่เปื้อนคราบน้ำมันและคราบสิ่งสกปรก
5) ใช้แปรงปัดตามซอกมุม และฟองน้ำตาข่ายขัดในส่วนที่สกปรกมาก ล้างจนเห็นว่าสะอาด
6) ทำการล้างใต้ฝากระโปรงโดยใช้ฟองน้ำเช็ดทำความสะอาด
7) ใช้น้ำฉีดเป็นฝอยหรือละอองเพื่อชำระคราบน้ำยาที่ล้างออกจากเครื่องยนต์ (อย่าฉีดน้ำแรงเกินไป)
8) ถอดถุงพลาสติกที่ใช้ปิดอุปกรณ์ออก แล้วทำการล้างและทำความสะอาดรถ
9) หลังจากที่ทำความสะอาดรถแล้ว นำสายลมมาเป่าตามซอกตามมุมที่มีน้ำขังอยู่ไล่น้ำออกให้หมด ที่สำคัญถอดปลั๊กหัวเทียนออกมาเป่าให้แห้ง
10) นำน้ำยาเคลือบเงาห้องเครื่อง ฉีดพ่นให้ทั่วเครื่องยนต์ โดยเฉพาะตามจุดที่เป็นยางและแสตนเลส เพื่อให้เกิดความเงา และใช้แปลงปัดตามและใช้ผ้าเช็ดตามอีกครั้ง
11) เมื่อเคลือบเงาเสร็จแล้ว ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ ถ้าเครื่องยนต์เกิดอาการสะดุดให้เช็คที่จานจ่ายหรือหัวเทียนว่ายังเปียกชื้นอยู่ให้ทำซ้ำในขั้นตอนที่ 9
12) ทำการตรวจสภาพรถโดยรอบอีกครั้งก่อนส่งมอบลูกค้า

น้ำยาเคมีภัณฑ์



 น้ำยาเคมีภัณฑ์

         ความงดงามของรถยนต์ในทุกอิริยาบถนั้นจำเป็นต้องมีปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ผลิตภัณฑ์น้ำยาบำรุงดูแลรักษาก็เปรียบเสมือนสบู่ ครีม โลชัน บำรุงรักษาผิวพรรณนั้นเอง เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ช่วยชุบหรือฟื้นฟูสภาพ เพิ่มความสดใส หลังจากที่รถยนต์ผ่านโปรแกรมของระบบผลิตภัณฑ์เหล่านี้
- หัวเชื้อโฟม ขนาด 30ลิตร ส่วนผสม 1:60
- แชมพูล้างล้อ ขนาด 30ลิตร ส่วนผสม 1:5
- น้ำยาwaxเงายาง ขนาด 30 ลิตร ส่วนผสม 0:0
- น้ำยาพ่นเงาซุ้มล้อ ขนาด 30 ลิตร ส่วนผสม 0:0 
- น้ำยาwaxเงาเบาะหนัง ขนาด 30 ลิตร ส่วนผสม 0:0
- น้ำยาล้างห้องเครื่อง ขนาด 30 ลิตร ส่วนผสม 1:5
- น้ำยา waxห้องเครื่อง ขนาด 30 ลิตร ส่วนผสม 0:0
- น้ำยา waxเงาสีรถ ขนาด 30 ลิตร ส่วนผสม 1:3
- น้ำยาสะลายคราบยางมะตอย ขนาด 5 ลิตร 
- น้ำยาซักเบาะ-พรม ขนาด 5 ลิตร ส่วนผสม 1:2 
- น้ำยาซักฟอกเบาะหนัง ขนาด 5 ลิตร ส่วนผสม 1:2 
- น้ำยาสะลายคราบเบื้องต้น ขนาด 30 ลิตร ส่วนผสม 1:5
น้ำยาเหล่านี้ เป็นน้ำยาพื้นฐานการบำรุงและดูแลรักษารถยนต์หาได้ทั่วไปตามที่จัดจำหน่าย ส่วนใหญ่มีที่กรุงเทพและบางจังหวัดครับ ข้อสำคัญควรตรวจเช็คคุณภาพของสินค้าและราคา ให้ละเอียดอีกครั้งก่อนการจัดซื้อ

อุปกณ์ที่สำคัญในส่วนเช็ดแห้ง

 

อุปกณ์ที่สำคัญในส่วนเช็ดแห้ง

            ในส่วนนี้ เป็นส่วนที่ช่วยในการ ทำความสะอาดในขั้นตอนสุดท้าย แต่ก็มีวิธีการและกรรมวิธีในการปฏิบัติงานที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อน ดังนั้นอุปกรณ์ในแผนกนี้นั้นจะต้องครบจริงๆ พนักงานถึงจะปฏิบัติงานออกมาได้อย่างมีคุณภาพตามที่ลูกค้าและท่านเจ้าของธุรกิจต้องการ ดังนี้ 
- ผ้าชามัวร์ จำนวน 5 ผืน 
- ผ้าเช็ดแห้ง จำนวน 5 ผืน 
- ผ้าไมโครไฟเบอร์ จำนวน 5 ผืน 
- ถังน้ำแช่ชามัวร์ ขนาด 5 ลิตร จำนวน 1 ใบ 
- ราวตากผ้า จำนวน 1 ชุด 
- รถเข็นใส่น้ำยา จำนวน 1 ตัว
- สเปรย์น้ำยาหัวเคมี จำนวน 5 กระบอก 
- ฟองน้ำ wax ภายใน จำนวน 5 ชิ้น 
- ฟองน้ำตาข่าย จำนวน 6 ชิ้น 
- แปรงทาสี (ทาล้อ) จำนวน 2 อัน 
- ชุดสายลม พร้อมหัวคลิบเปอร์ 15 ม. จำนวน 2 ชุด 
- กาพ่นละออง (พ่นซุ้มล้อ, wax สี, waxห้องเครื่อง) จำนวน 3 ใบ 
- ปืนลมจำนวน 2 ตัว 
- พูกันปัดซอก จำนวน 1 อัน 
บางท่านเมื่ออ่านดูแล้วก็คงจะคิดว่า ทำไมมากมายขนาดนี้ สำหรับท่านที่ยังไม่เคยผ่านธุรกิจนี้ ส่วนท่านที่ทำธุรกิจนี้อยู่แล้วก็พิจารณาดูครับ ว่าอะไรที่ควรเพิ่มหรือไม่ต้องเพิ่มส่วนรายละเอียดการทำงาน

อุปกรณ์ที่สำคัญในส่วนล้าง


 อุปกรณ์ที่สำคัญในส่วนล้าง


         ในส่วนนี้เรามาเริ่มต้นในการทำความรู้จักเกี่ยวกับอุปกรณ์จุกจิกในแผนกล้างกัน เตรียมการให้พร้อมทุกเรื่องทุกประเด็น เพื่อผลงานที่ออกมานั้นจะได้คุณภาพและมาตรฐาน ดังนี้
- ถังน้ำขนาด 26 ลิตร (สำหรับแช่ฟองน้ำล้าง ม็อปถูหลังคา ฟองน้ำตาข่าย)
- ถังน้ำขนาด 5 ลิตร (สำหรับใส่แปรงขัดล้อยาง ฟองน้ำตาข่ายขัดแม๊กซ์)
- แปรงขัดล้อยาง จำนวน 2 ชิ้น
- ฟองน้ำตาข่าย จำนวน 5 ชิ้น
- ฟองน้ำล้างรถ จำนวน 2 ชิ้น
- ม็อปถูหลังคา จำนวน 1 ชิ้น
- ลิควิปเปเปอร์ จำนวน 1 ด้าม
- ยางปูพื้นสำรอง จำนวน 1 แผ่น
- กาพ่นน้ำยาล้างเครื่อง จำนวน 1 อัน, สายลมพร้อมหัวคลิบเปอร์ ยาว 15 เมตร จำนวน 1 ชุด

5.แท่นอัดฉีดช่วงล่าง

5.แท่นอัดฉีดช่วงล่าง

        แท่นล้างนั้นสำคัญต่อการล้างที่ต้องการ อัดฉีดช่วงล่างของรถยนต์ไม่เลือกว่าจะเป็นรถรุ้นไหนๆ ก็ต้องรับบริการได้เพื่อให้การบริการที่ครบถ้วนของกรรมวิธีการล้าง แท่นล้างนั้นโดยทั่วไปในบ้านเรามีอยู่ 3 แบบด้วยกัน ขึ้นอยู่กับงบประมาณหรือท่านเจ้าของธุรกิจ ต้องการภาพที่ออกมานั้นอยู่ในระดับไหนให้ลูกค้าเกิดความประทับใจเมื่อมาใช้บริการ ดังนี้
1) แท่นล้างระบบไฮโดรลิค ขึ้นอยู่กับงบประมาณของท่านเจ้าของกิจการ ที่ต้องการมาตรฐานและภาพลักษณ์ของร้าน (ดังภาพ) ดูแล้วอัดฉีดช่วงล่างได้ถึงใจ สะอาดหมดจดแน่นอน พนักงานก็ทำงานได้รวดเร็วและปลอดภัย งบประมาณชุดนี้อยู่ที่ 120,000 บาทครบทุกชิ้น รับน้ำหนักได้ไม่เกิน 2,000 กิโลกรัม
2) เป็นโครงเหล็กฉากขนาดหนา งบประมาณอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 บาท ข้อดีของแท่นเหล็กนั้นก็คือ สามารถย้ายได้สะดวกน้ำหนักไม่มากจนเกินไปแต่ข้อเสียคือ จะเป็นสนิมในอนาคต
3) แบบปูน เป็นงบประมาณที่ถูกที่สุดประมาณ 5,000 -10,000 บาท และใช้งานได้ดีเช่นเดียวกัน นิยมกันแพร่หลายโดยเฉพาะต่างจังหวัด มีข้อสำคัญต้องทำการก่อสร้างให้แข็งแรง เช่น ต้องสร้างฐานโดยทำการหล่อคานปูนให้เรียบร้อยก่อนการก่อขึ้นแท่น รวมถึงต้องใส่เหล็กเส้นเพื่อป้องกันการยุบตัวด้วย

4.เครื่องดูดฝุ่น

4.เครื่องดูดฝุ่น 

      การคัดเลือกเครื่องดูดฝุ่นสำหรับจะนำมาใช้ในงานมืออาชีพนั้นต้องคำนึงถึงการทำงานต่อเนื่องระหว่างวันด้วย เพราะนอกจากเครื่องจะพังแล้วลูกค้าก็จะเสียความรู้สึกในหลายๆ ด้าน เพราะการเตรียมการไม่พร้อมของทางร้านนั้นเองปัจจุบันนี้เครื่องดูดฝุ่นนั้นมีกันหลายยี่ห้อ หลายขนาด เลือกซื้อกันได้ง่ายแต่ที่สำคัญให้ดูเรื่องของกำลังมอเตอร์ด้วยครับ มีทั้งนำเข้าหลายประเทศมีให้เลือกแบบ 2 มอเตอร์ หรือ 3 มอเตอร์ ราคาจะอยู่ในประมาณ 20,000 – 25,000 บาท แล้วแต่ขนาดของความจุและจำนวนมอเตอร์ ที่สำคัญต้องดูดน้ำได้ด้วย

3.เครื่องปั๊มลม

3.เครื่องปั๊มลม 

        เครื่องปั๊มลม เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญอีกเช่นเดียวกันมีหลายยี่ห้อให้เลือกทั้งนี้ต้องดูเรื่องของ การบริการหลังการขายให้ดีเพราะว่าปัจจุบันนี้มีมาจาก ประเทศจีนก็มีเยอะเวลาที่เกิดปัญหาขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ ต่อไปเราจะมาดูรายละเอียดว่าใช้งานกับอะไรกันบ้างและเป็นตัวผลักดันให้เนื้องานออกมากับกรรมวิธีการอะไรของการล้างรถ ต้องมีขนาดบรรจุลมขนาด 120 ลิตรขึ้นไปถึงจะพอดี 3 สูบมอเตอร์ 2 - 3 แรงก็พอแล้ว ระบบไฟ 2, 3 สายก็ได้ ราคาอยู่ที่ประมาณ 30,000 - 35,000 บาท แล้วแต่ยี่ห้อครับ เราจะมาดูวิธีการทำงานของปั๊มลมว่ามีอะไรบ้าง
อันดับแรกใช้ผลักดันการทำงานใน zone ล้างโดยตรงก็คือเครื่องฉีดโฟมนั้นเอง ต้องมีหัวคลิ๊ปเปอร์เสียบที่หัวทางเดินลมเข้าของถังโฟมด้วยครับ ใช้สำหรับในงานเช็ดแห้งในกรณีที่ใช้กับหัวเป่าไล่ลมตามจุดตามซอกต่างๆ (รายละเอียดของการไล่ลมติดตามในบทการเช็ดแห้งครับ ใช้ในการผลักดันฉีดน้ำยา wax สี ซึ่งรายการนี้ก็เป็นส่วนที่เสริมรายได้อีกรายการ 
นอกเหนือจากการล้างธรรมดา (รายละเอียดการ wax ติดตามในหัวข้อการ wax สี) ใช้ในการผลักดัน น้ำยาในการบริการห้องเครื่องไม่ว่าจะเป็นการฉีดน้ำยาในการล้างห้องเครื่อง หรือฉีดน้ำยาในการเคลือบเงาห้องเครื่อง (ติดตามรายละเอียดได้เช่นเดียวกัน) ใช้ในการผลักดันน้ำยา ในกรณีที่ลูกค้าล้างในระบบ VIP ในกรณีของการ WAX กระบะหลังหรือ กันชนหน้าและบันไดหลังเป็นต้น


2.เครื่องฉีดโฟม

 2.เครื่องฉีดโฟม

ในปัจจุบันนี้คาร์แคร์โดยทั่วไปนั้นจะใช้โฟมเป็นส่วนช่วยในการล้างกันเป็นส่วนใหญ่ไม่เหมือนกับในอดีตที่จะใช้แชมพู เพราะการใช้โฟมนั้นนอกจากจะช่วยสร้างภาพของกรรมวิธีในการล้างให้ดูดีและมีมาตรฐานแล้วการใช้งานก็ยังง่ายไม่ต้องเตรียมอะไรมากมายเพียงแค่เตรียมผสมในช่วงวันละ 1 ครั้ง เท่านั้นก็พอเป็นอย่างไรเรามาติดตามกัน

อุปกรณ์-เครื่องมือ 1.เครื่องฉีดน้ำแรงดัน

อุปกรณ์-เครื่องมือ

เป็นหัวใจหลักในการทำธุรกิจคาร์แคร์นอกจากจะทำให้ผลงานที่ออกมาได้มาตรฐานแล้ว ยังสามารถทำเวลาได้อย่างถูกต้องตามความต้องการของลูกค้า และตามความต้องการของท่านเจ้าของกิจการอีกด้วย เราจะมาดูกันเป็นรายตัวโดยละเอียดพร้อมวิธีการใช้งานพร้อมกับการดูแลรักษาที่ถูกต้องเพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้อยู่กับเราได้นานเท่านานครับ

อันดับแรกเครื่องฉีดน้ำแรงดัน

สำหรับคาร์แคร์บางที่ก็ได้นำการดัดแปลงจากเครื่องพ่นยาฆ่าแมลงมาใช้งาน ซึ่งมีราคาถูกแต่ว่าเมื่อปฏิบัติงานกันจริงๆ แล้วเสียทั้งเงิน (เพราะใช้น้ำเยอะมากไป เช่น ล้างรถโดยทั่วไปใช้น้ำ 40 ลิตรแต่เครื่องนี้ใช้น้ำ 60 ลิตร) เสียทั้งเวลาและเสียทั้งมาตรฐานงาน
ควรจะใช้เครื่องที่มีมาตรฐานในการทำงานมาใช้เฉพาะงานจะดีกว่าครับ เป็นเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง 100 บาร์ มอเตอร์ 3-5 แรงม้า ไฟฟ้า 2 หรือ 3 สายก็ได้ ราคาของเครื่องนี้ประมาณ 4 หมื่นเศษๆ ครับ ราคาค่อนข้างจะสูงมาก แต่รับรองได้ว่าสามารถทำงานได้ตลอดทั้งวันโดยไม่งอแง ประมาณการก็ 30 - 60 คันต่อวันได้สบายๆ ครับ
ราคานี้พร้อมสายยาว 13 เมตรรวมกับหัวปืนฉีดเรียบร้อย การปรับแรงดันน้ำ ปรับที่หัวปืนกันเลย โดยเมื่อดึงปลายปืนเข้ามา(ดังภาพ) ก็ใช้ได้แล้ว เช่นกันเมื่อเวลาต้องพักแรงดันน้ำก็ดันหัวปลายปืนออกก็เป็นอันว่าเสร็จ หัวปืนสามารถหมุนปรับซ้าย, ขวา เพื่อปรับความแรงของน้ำได้ ใช้งานง่ายและเหมาะกับทุกสถานการณ์ของรถที่เข้ามาใช้บริการค

ผู้ทำธุรกิจคาร์แคร์

ผู้ทำธุรกิจคาร์แคร์ 

ต้องเรียนรู้และมีองค์ความรู้ทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติด้วย ทั้งการปฏิบัติ การบริหาร การตลาด การส่งเสริมการขาย (Promotion) ในเรื่องต่างๆ ดังนี้
- ลักษณะการเป็นผู้นำ ผู้บริหาร รูปแบบเอกสาร สถานที่ โครงสร้าง
- การบริหารพนักงานและการจูงใจ การทำความเข้าใจและการดูแลรักษาเครื่องมือ
- เรียนและเข้าใจหลักการการบริหารการตลาด การผสม น้ำยาเคมี
- เทคนิคการล้าง การเช็ดแห้ง
- การล้างระบบ VIP การล้างห้องเครื่องยนต์
- การล้าง ซักเบาะ-พรม แบบแห้ง
- การล้าง ซักเบาะ-พรม แบบเปียก
- การล้าง, ซักเบาะ-พรม แบบใช้เครื่องอัตโนมัติ
- การเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เคมี
- การขจัดคราบน้ำบนกระจกและผิวสี
- การขจัดละอองสี
- การขจัดยางมะตอย, ขัดเคลือบล้อแม๊กซ์
- การขัดเคลือบสีลบรอยเคลือบสี full system
- การเคลือบแก้ว (ภาคทฤษฏีและปฎิบัติ)
- สรุปการใช้เคมี ผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ การลงทุนทำคาร์แคร์ ตั้งแต่ 600,000 บาท ถึง 10,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะทำธุรกิจมีขนาดไหน กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร ทำเลที่ไหน ลักษณะและขอบเขตการให้บริการกว้างขวางแค่ไหน การวางตำแหน่งเลือกกลุ่มรถที่จะให้บริการ การเลือกใช้วัสดุเคมีภัณฑ์ และเครื่องมืออุปกร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ธุรกิจคาร์แคร์


ธุรกิจคาร์แคร์

ธุรกิจคาร์แคร์ คือ ธุรกิจที่ให้บริการดูแลรักษารถยนต์ทั้งแบบนอกสถานที่ทำงานและถึงสถานที่ทำงานหรือที่พักอาศัยของลูกค้า เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการ และลดการเสียเวลาของลูกค้าที่ต้องรอคอยตามสถานีบริการต่างๆ โดยมีทั้งบริการเพื่อความสะอาดและปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ย่อยทั่วไป

 



คุณสมบัติผู้ประกอบการที่ควรมี : ประสบการณ์ นิสัยรักรถ รักการให้บริการ ความชอบส่วนบุคคล ปัจจัยการลงทุนเบื้องต้น สถานที่ มีจิตวิทยาเบื้องต้นในการอยู่ร่วมกับคนข้อมูลเบื้องต้นสำหรับผู้สนใจลงทุนหากพูดถึงธุรกิจคาร์แคร์ ต้องขอบอกว่า เป็นธุรกิจที่มีมาอย่างยาวนานเข้ากับวลีที่ว่า “ที่ใดมีรถ ที่นั่นต้องมีคาร์แคร์” ไม่ว่าจะเข้าไปในถิ่นฐานตำบลใด แต่ถ้ามีรถก็มักจะต้องมีธุรกิจนี้ติดตามไปเสมอ ธุรกิจนี้อาจจะต้องการการลงทุนโดยเฉพาะสถานที่ หากคุณมีบริเวณพื้นที่บ้านเหลืออยู่ก็ไม่จำเป็นต้องไปเช่าที่ๆ อื่น แต่หากคุณมีเงินทุนจำกัดล่ะก็คุณสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการรับจ้างล้างรถ ขัดสี เคลือบเงาเล็กน้อย ด้วยจำนวนลูกทีมสัก 2 - 3 คนก็สามารถล้างรถได้นับสิบคันต่อวัน (หากคำนวณระยะเวลา 1 ชั่วโมงต่อการล้างรถ 1 คัน) เน้นการบริการทุกระดับประทับใจ แม้ยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือหรือทีมงานมากนัก แต่ใครเล่าจะบริการลูกค้าได้ถูกใจเท่ากับเจ้าของร้านเอง คุณสามารถเรียนรู้หาข้อมูลและประสบการณ์ด้วยการไปใช้บริการตามร้านคาร์แคร์ต่างๆ และอาศัยการสอบถาม ศึกษาด้วยตนเองก็เป็นอันสำเร็จได้